MENU
หน้าแรก | สมุดเยี่ยม l webbord | คำคมนักปราชญ์| ตำนานพื้นบ้าน | รักษ์ดนตรีไทย | มวยไทย | ภาพศิลป์ไทย | สินค้าฝากขาย | เทคนิคโปรแกรม | ที่นี่มีแต่ของฟรี | ลิ้งค์สุดยอด | ติดต่อเรา |
....

จังหวัดสงขลา

ชื่อ นายแรง

........................นายแรงเป็นนิทานประเภทอธิบายสถานที่ ที่ปรากฏอยู่ในจังหวัดพัทลุง จังหวัดสงขลา โดยเฉพาะภูเขาต่างๆ เช่น เขารุน เขาหัวหมา เขาแดง เขาเก้าแสนหรือเขาเก้าเส้ง เป็นต้น มีเรื่องเล่าว่า กาลครั้งหนึ่งในเมืองพัทลุง มีสามีภรรยาคู่หนึ่งอยู่ด้วยกันมาเป็นเวลาช้านาน แต่ยังไม่มีลูก ทั้งสอง
พยายามบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้มีลูก แต่ทำอย่างไรก็ไม่สามารถมีลูกได้จึงพากันไปหาท่านสมภารที่วัด ท่านสมภารจึงแนะนำให้ไปหยิบก้อนกรวดที่ริมบ่อน้ำมาก้อนหนึ่ง ให้นำไปห่อผ้าขาววางไว้ใต้หมอนแล้วตั้งจิต อธิษฐานขอลูก ไม่ช้าภรรยาก็ตั้งครรภ์กินอาหารได้มากผิดปกติ ยิ่งท้องแก่ยิ่งต้องเพิ่มอาหารมากขึ้น เมื่อ
คลอดทารกเป็นผู้ชายชาวบ้านแตกตื่นกันมาดูเพราะทารกโตเกือบเท่าเด็ก ๑ ขวบ กินนมแม่อยู่ตลอดเวลา เด็กคนนี้โตวันโตคืน กินอาหารจุ น้ำนมของแม่ไม่พอเลี้ยงต้องต้มข้าวให้กินมื้อละ ๑ กระทะ กินกล้วยครั้งละ ๑๐ หวี ในที่สุดพ่อแม่ต้องยากจนลง จึงคิดที่จะฆ่าลูกชายเพราะไม่สามารถจะเลี้ยงต่อไปได้ เช้าวันหนึ่งพ่อจึง ชวนลูกชายไปตัดฟืนในป่า พ่อลงมือโค่นต้นยางขนาดใหญ่พอต้นยางใกล้จะล้ม ก็เรียกลูกให้เข้ามารับจึงถูกต้นยางล้มทับจมลงไปในดิน พ่อคิดว่าลูกคงตายแล้วจึงกลับบ้าน ตกตอนเย็นลูกชายกลับแบกต้นยางกลับมา วางไว้ที่หน้าบ้าน ชาวบ้านแตกตื่นกันมาดู ต่างเรียกชื่อเด็กชายคนนี้ว่า "นายแรง" ครั้งหนึ่งเรือสำเภาเข้ามาค้าขาย พ่อแม่คิดจะฆ่านายแรงอีก จึงได้ฝากนายแรงไปกับเรือสินค้า เรือแล่น ออกสู่ทะเลเป็นเวลาหลายวัน อาหารที่มีอยู่จึงไม่พอกิน พ่อค้าจึงหลอกให้นายแรงลงจับปลาโลมาแล้วแล่น เรือหนีไป แต่นายแรงยังโชคดีได้พบเรือที่จมอยู่ใต้ท้องน้ำ จึงกู้เรือนั้นขึ้นแล้วนั่งเรือกลับบ้าน พ่อแม่ของนาย
แรงเกิดสำนึกผิดที่คิดจะฆ่าลูก ก็เลยเต็มใจเลี้ยงลูกถึงจะประสบกับความยากจน นายแรงสงสารพ่อแม่ที่ตน เองเป็นต้นเหตุให้พ่อแม่ยากจน จึงรับอาสาทำงานทุกอย่าง ไม่ว่าชาวบ้านจะขอความช่วยเหลือในเรื่องอะไร เพื่อแลกกับอาหารมาเลี้ยงพ่อ วันหนึ่งนายแรงจับโจรที่เข้ามาปล้นวัวควายในหมู่บ้านได้ถึง ๔ คน ทำให้โจร
กลุ่มอื่น ๆ หวาดกลัวไม่กล้าเข้ามาปล้นในหมู่บ้านนี้อีก นายแรงจึงเป็นที่รักของชาวบ้านทั่วไป ได้นำวัวควาย มาให้นายแรงนำไปเลี้ยง นายแรงนำวัวไปเลี้ยงไว้ที่เชิงเขาลูกหนึ่ง ปัจจุบันเรียกว่า "เขาหลักโค" (อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง) ได้นำไก่ไปเลี้ยงไว้ที่เขาลูกหนึ่งเรียกว่า "เขาหลักไก่" (อำเภอ กงหรา จังหวัดพัทลุง) นำ
ควายไปเลี้ยงไว้ที่เกาะใหญ่เรียกสถานที่นั้นว่า "คอกควายนายแรง" (อำเภอกระแสสินธิ์ จังหวัดสงขลา) หมู่บ้านที่นายแรงอยู่มักมีช้างป่า ออกมาอาละวาดทำลายเรือกสวนไร่นาชาวบ้าน มีจ่าโขลงตัวหนึ่งมีความดุร้ายมาก ออกมาถอนต้นไม้ พังบ้านเรือนราษฎรอยู่เสมอ นายแรงรับอาสาจับช้างตัวนั้น แล้วโยนไปตก ที่จังหวัดสงขลา กลายเป็นเขาลูกหนึ่งเรียกว่า"เขาลูกช้าง" (ปัจจุบันเรียกเขารูปช้าง) เมื่อพ่อแม่นายแรงเสียชีวิตแล้ว นายแรงได้ย้ายไปอยู่ที่ "เขาหลักโค" (ตำบลโหนด อำเภอเมือง จังหวัด พัทลุง) นายแรงเป็นคนที่ชอบกินเนื้อแลน (ตะกวด) วันหนึ่งๆ กินไม่ต่ำกว่า ๑๐ ตัว วันหนึ่งนายแรงไปหาแลน ที่ตะแพน เขาปู เขาย่า ได้พบแลนยักษ์ตัวหนึ่ง นายแรงจึงขว้างด้วยมีดอีโต้เรียกที่นั้นว่า "ทุ่งอ้ายโต้" แลนแล่น ผ่านบ้านลานแยะ บ้านพังดาน บ้านปากเลน เขาโต๊ะบุญ บ้านพังโย ทางที่แลนวิ่งผ่านกลายเป็นคลอง ชาว
บ้านเรียกว่า "คลองห้วยแลน" แลนยักษ์แล่นลอดเข้าไปทางใต้เขาพนมวังก์ ไปซ่อนตัวอยู่ในโพรงหินทางด้าน ทิศตะวันตกของเขาเมือง นายแรงขุดด้วยจอบ โดยมีหมาช่วยขุดคุ้ยหิน ชาวบ้านเรียกตรงนั้นว่า "หินรอยหมากัด" จนถึงเวลาเที่ยงวัน นายแรงยังจับแลนยักษ์ตัวนั้นไม่ได้ จึงใช้หมาไปเอาข้าวห่อที่บ้านเขาหลักโค ตนเอง
ขุดต่อไป มีก้อนหินมหึมากีดขวางด้ามจอบ นายแรงจึงดันหินนั้นให้ออกห่างไปทางด้านทิศตะวันตก กลายเป็นเขาอีกลูกหนึ่ง ชาวบ้านเรียกว่า "เขารุน" ส่วนหินที่เกิดจากการขุดคุ้ยชาวบ้านเรียกว่า "ขี้จอบนายแรง" เมื่อนายแรงจับแลนยักษ์ได้ก็ฟาด กับเขาอีกลูกหนึ่ง เลือดแลนยักษ์ไหลอาบหน้าผาเป็นสีแดงฉาน จึงเรียกเขา
ลูกนั้นว่า "เขาแดง" (อำเภอเมืองพัทลุง) นายแรงนำมีดอีโต้ที่ชำแหละแลนไปล้างเลือดที่คลองแห่งหนึ่ง คลองนี้ จึงเรียกว่า "คลองอ้ายโต้" นำหนังแลนไปตากที่กลางทุ่งนาทางทิศตะวันตกของเขาพนมวังก์ ที่นั้นจึง เรียกว่า "ทุ่งขึงหนัง" (อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง) ไปเอาตะไคร้ที่เขาอีกลูกหนึ่ง ชาวบ้านเรียกว่า "เขาใคร" (อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง) นายแรงมักจะเดินทางไปเอาสิ่งของที่ตนต้องการในที่ไกล ๆ เพราะเขาไปรวดเร็ว จึงไปตำน้ำพริกที่ อำเภอปากพะยูน ที่ตรงนั้นจึงเรียกว่า "บางน้ำชุบ" นำเนื้อแลนไปจิ้มกินที่เขาอีกลูกหนึ่ง ชาวบ้านเรียกว่า "เขาจุ้มโจ" นายแรงนำเนื้อแลน ที่เหลือไปฝากหมาตัวเอง แต่พบว่าหมาขาดใจตายเสียแล้ว ที่คอยังมีข้าวห่อแขวนอยู่ ภายหลังกลายเป็นหิน ชาวบ้านเรียกว่า "เขาหัวหมา" (อำเภอเมืองพัทลุง) ต่อมานายแรงเป็นห่วงควายที่
นำไปเลี้ยงไว้ที่เกาะใหญ่ จึงออกเดินทางไปเกาะใหญ่ ได้หุงข้าวต้มไก่ที่แหลมแห่งหนึ่ง ต่อมาเรียกว่า "แหลมไก่ฟู" (อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง) ลมพัดจัด ไม่สามารถหุงข้าวต้มไก่ได้ จึงเลื่อนไปหุงที่ริมเนิน เมื่อกินอาหารเสร็จแล้ว ก็ทิ้งหม้อข้าวหม้อแกงไว้ที่นั้นเรียกนั้นว่า "ควนตั้งหม้อ" (อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง)
ต่อมาเมืองขึ้นของไทยทางมลายูเกิดแข็งเมือง นายแรงอาสาไปรบศึกครั้งหนึ่งด้วย นายแรงเป็นกองหน้าบุกตะลุยข้าศึกจนได้รับชัยชนะ นายทัพฝ่ายไทย เห็นว่านายแรง มีฝีมือยอดเยี่ยมมีกำลังมากจึงแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมือง ครั้งนั้นทางเมืองนครศรีธรรมราชกำหนดบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในเจดีย์ และจัดงานเฉลิม
ฉลองใหญ่โต บรรดา ๑๒ หัวเมืองปักษ์ใต้ต่างก็นำเงินทองไปบรรจุในพระบรมธาตุ เมืองที่นายแรงเป็นเจ้าเมือง ก็เป็นเมืองขึ้นของนครศรีธรรมราชด้วย ประกอบกับนายแรงมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา จึงขนเงินทอง เป็นจำนวนมากถึงเก้าแสนบรรทุกเรือสำเภา พร้อมด้วยไพร่พลออกเดินทางไปเมืองนครศรีธรรมราช ขณะ
กำลังเดินทางเรือสำเภาถูกคลื่นลมชำรุดจึงเข้าจอดเรือที่ชายฝั่งหาดทรายแห่งหนึ่งเพื่อซ่อมแซมเรือ พอได้ทราบข่าวว่า ทางเมืองนครศรีธรรมราชได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเสร็จแล้ว นายแรงเสียใจมาก จึงให้ไพร่พล ขนเงินทองบรรจุไว้บนยอดเขาลูกหนึ่ง สั่งให้ลูกเรือตัดหัวของตนไปวางไว้ที่ยอดเขานายแรงกลั้นใจตาย ลูกเรือ ต้องจำใจตัดหัวเจ้านายไปวางไว้บนยอดเขาตามคำสั่ง เขาลูกนี้ภายหลังเรียกว่า "เขาเก้าแสน" เสียงเพี้ยนไป เป็น "เก้าเส้ง" ก้อนหินที่ปิดทับอยู่บนยอดเขาเรียกว่า "หัวนายแรง" ชาวบ้านเชื่อว่าดวงวิญญาณของนายแรง ยังเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์อยู่ที่เขาเก้าเส้ง (อำเภอเมืองสงขลา) มาจนทุกวันนี้
แนวคิด
.......................แนวคิดของนิทานเรื่องนายแรงนั้น เป็นเรื่องที่บรรพบุรุษ ได้นำเอาลักษณะภูมิประเทศมาผูกแต่งเป็นเรื่องราว เพื่อให้ลูกหลานได้เรียนรู้อันจะก่อให้เกิดความรัก ความภาคภูมิใจ ในท้องถิ่นของตนเน้นความเสียสละ รู้จักการช่วยเหลือบุคคลอื่นที่อ่อนกว่า ดังเช่น นายแรง ปลูกฝังความรักแผ่นดิน มีความกล้าหาญ ทั้งให้
ยึดมั่นและศรัทธา ในพระพุทธศาสนาเยี่ยงบรรพบุรุษอย่างมั่นคงสืบไป