MENU
|
.. ..
|
ประวัติ วัดอรุณราชวราราม
...............วัดอรุณราชวราราม เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร......................
สถานที่ตั้ง
ด้านทิศตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาเหนือพระราชวังเดิม และฟากตะวันออกของถนนอรุณอัมรินทร์
ระหว่างคลองนครบาลกับพระราชวังเดิม แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่
ประวัติความเป็นมา
.................วัดอรุณราชวราราม เป็นวัดโบราณมีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยายังเป็นราชธานี
มีชื่อเรียกเดิมว่า วัดมะกอก สมัยกรุงธนบุรีสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุร ีทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ปฏิสังขรณ์ แล้วเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น วัดแจ้ง สาเหตุที่เปลี่ยนชื่อวัดจากวัดมะกอกมาเป็นวัดแจ้งก็เพราะว่า
เมื่อสมัยที่พระเจ้ากรุงธนบุรี
ได้ปราบศัตรูที่อยุธยาและคนไทยมีอิสระภาพขึ้นดังเดิมแล้ว แต่ไม่สามารถจะตั้งอาศัยอยู่
ณ ราชธานีเดิม คือกรุงเก่าต่อมาได้ จึงพากันล่องลงมาตามลำแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อหาที่ตั้งราชธานีใหม่
พอลงมาถึงหน้าวัดมะกอกนี้ ก็พอดีรุ่งแจ้ง พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพระราชดำริเห็นเป็นอุดมมหามงคลฤกษ์
จึงโปรดให้ยับยั้ง
กระบวนผู้คน ให้เทียบเรือพระที่นั่งเข้ากับท่าน้ำ เสด็จขึ้นไปทรงสักการะบูชา พระมหาธาตุ
คือพระพุทธปรางค์องค์เดิม ซึ่งประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่น้ำข้างหน้าวัด ต่อมาได้โปรดให้บูรณะปฏิสังขรณ์วัด
แล้วเปลี่ยนชื่อวัดใหม่เป็นวัดแจ้งเพื่อให้เหมาะสมกับเหตุการณ์มาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดให้เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เสด็จมาประทับอยู่
ณ พระราชวังเดิมข้างใต้วัดแจ้ง แต่เมื่อปีพ.ศ. ๒๓๒๘ ทรง
มอบหน้าที่ให้บำรุงบูรณะปฏิสังขรณ์วัดแจ้ง สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร
ได้ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์วัดแจ้งใหม่หมดทั้งวัด แต่การปฏิสังขรณ์ ทำได้สำเร็จเพียงกุฏีสงฆ์
ส่วนพระอุโบสถและพระวิหารยังไม่ทันเสร็จก็สิ้นรัชกาลที่ ๑
..................... ในสมัยรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติแล้ว
ได้ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์วัดแจ้งต่อ โปรดให้สร้างพระอุโบสถ และพระวิหารต่อจากที่เริ่มสร้างไว้แล้วในสมัยรัชกาลที่
๑ ที่พระอุโบสถโปรดให้สร้างพระระเบียงล้อมรอบ การสร้งพระอุโบสถและพระวิหารเสร็จแล้ว
ยังโปรดให้
บูรณะพระอุโบสถและพระวิหารเก่าหน้าพระปรางค์หน้าวัด กับสร้างศาลาการเปรียญขึ้น
๑ หลัง การปฏิสังขรณ์สิ่งต่าง ๆ สำเร็จเรียบร้อย ก็มีการฉลองและพระราชทานนามวัดนี้ใหม่ว่า
วัดอรุณราชวราราม ต่อมา ทรงมีพระราชศรัทธาที่จะสถาปนาพระมหาธาตุหรือพระพุทธปรางค์ข้างหน้าวัด
ขึ้นใหม่ให้เป็นที่งามสง่า พระปรางค์เดิมสูงเพียง ๘ วา ทรงพระราชดำริว่าควรจะเสริมสร้างให้ใหญ่สูงเป็นพระมหาธาตุสำหรับพระนคร
จึงโปรดให้กำหนดการลงมือขุดคลองรากทำเป็นฐาน แต่การยังไม่สำเร็จก็พอดีสิ้นรัชกาลที่
๒ เสียก่อน
..........................รัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติสืบมาจนเมื่อปี
พ.ศ. ๒๓๘๕ ทรงพระราชดำริถึงพระมหาธาตุที่วัดอรุณฯ ซึ่งสมเด็จพระบรมชนกนาถทรงพระราชดำริไว้และค้างอยู่นั้น
ควรจะดำเนินการให้สำเร็จดังพระราชประสงค์ จึงได้ทรงคิดแบบอย่างแล้วโปรดให้ลงมือสร้าง
พระพุทธปรางค์ เป็นพระมหาเจดีย์สูง ๑ เส้น ๑๓ วา ๑ ศอก ๑ คืบ ๑ นิ้ว ฐานวัดโดยรอบได้
๕ เส้น ๑๗ วาในรัชกาลนี้ ยังโปรดให้สร้างพระมณฑป ขึ้นระหว่างพระอุโบสถกับพระวิหารที่สร้างขึ้นใหม่
เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธบาทจำลอง กับสร้างพระเจดีย์เหลี่ยมย่อมุมไม้ ๑๒ ขึ้น ๔
องค์ ในบริเวณด้านใต้
พระระเบียง และยังโปรดให้สร้างซุ้มประตูในย่างกลางพระระเบียง ตรงหน้าพระอุโบสถออกมา
ทำเป็นยอดทรงมงกุฏ และสร้างยักษ์ยืนคู่หนึ่งประจำที่หน้าซุ้มประตูด้านนี้ด้วย
.....................เมื่อรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติแล้ว
ต่อมาโปรดให้สร้างและปฏิสังขรณ์สิ่งต่าง ๆ ในวัดอรุณฯ เพิ่มเติมขึ้นอีกหลายอย่าง
เช่น สร้างบุษบกยอดเป็นทรงปรางค์ขึ้นที่ผนังหุ้มกลอง ด้านหน้าพระอุโบสถ เพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปทรงเครื่องอย่างพระมหาจักรพรรดิ์
แห่งหนึ่ง กับที่ผนังหุ้มกลองด้านหลังพระอุโบสถอีกแห่งหนึ่ง กับโปรดให้ประดับฝาผนังด้านนอกพระอุโบสถและพระวิหารด้วยกระเบื้องเคลือบสีต่าง
ๆ
...................อนึ่ง พระประธานในพระอุโบสถ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงปั้นหุ่นด้วยฝีพระหัตถ์
นั้นยังไม่มีพระนาม จึงพระราชทานนามถวายว่า พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก และที่โปรดให้อัญเชิญพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมาบรรจุไว้
ณ พระพุทธบัลลังก์ของ
พระประธานองค์นี้ด้วย กับที่พระวิหารโปรดให้อัญเชิญพระอรุณ ที่อัญเชิญมาแต่เวียงจันทน์
มาประดิษฐานไว้ในพระวิหารอยู่ข้างหน้า พระพุทธชัมภูนุชมหาบุรุษลักขณาอสีตยานุบพิตร
พระประธานในพระวิหารนั้นเมื่อการ บูรณะปฏิสังขรณ์วัดสำเร็จแล้ว ได้พระราชทานนามใหม่ว่า
วัดอรุณราชวราราม ดังที่เรียกกันจนถึงทุกวันนี้
ความสำคัญต่อชุมชน
.....................วัดอรุณราชวรารามเป็นวัดที่มีความสำคัญในด้านประวัติศาสตร์แห่งหนึ่ง
เมื่อสมัยกรุงธนบุรี พระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทรงสร้างพระราชวังขึ้นเป็นพระราชนิเวสสถานนั้น
ได้ทรงเอากำแพงและป้อมวิชัยประสิทธิ์เป็นที่ตั้งพระราชวัง แล้วโปรดให้ขยายเขตพระราชวังขึ้นมาทางเหนือจนถึงคลองนครบาล
เพราะฉะนั้นวัดแจ้งหรือวัดอรุณฯ จึงตกอยู่กลางพระราชวัง จึงให้ยกเว้นพระสงฆ์มิให้อยู่อาศัย
วัดแจ้งจึงกลายเป็นวัดประเภท พุทธควาส อยู่สมัยหนึ่ง
.....................ความสำคัญของวัดอรุณราชวราราม เมื่อสมัยกรุงธนบุรีอีกเรื่อง
คือ วัดอรุณราชวราราม เคยเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือ พระแก้วมรกตอยู่นานถึง
๕ ปี โดยเมื่อปีพ.ศ. ๒๓๒๒ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ตีได้เมืองเวียงจันทน์
แล้วอัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญ ๒ องค์ คือ พระแก้ว
มรกต กับพระบางลงมาด้วย สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงโปรดให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ ขึ้นไปรับล่วงหน้าพาล่วงลงมาตามลำแม่น้ำ แล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปรับถึง
บางธรณี โปรดให้แห่ลงมา ณ กรุงธนบุรี ให้มีมหรสพสมโภชมาในกระบวนเรือระหว่างทาง
เมื่อถึงวัดแจ้งโปรดให้
อัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นที่สะพานป้อมต้นโพธิ์ ปากคลองนครบาล แล้วให้พักไว้ ณ โรงชั่วคราว
โปรดให้มีมหรสพสมโภชโดยสังเขป ครั้นจัดการสร้างพระมณฑปขึ้นสำหรับเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเสร็จแล้ว
จึงเมื่อวันวิสาขปุรณมี เพ็ญกลางเดือน ๖ ปีชวด โทศก พ.ศ. ๒๓๒๓ โปรดให้อัญเชิญพระแก้วมรกตขึ้นประดิษฐานไว้ในพระมณฑป
ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังระหว่างพระอุโบสถและพระวิหารเก่า มีการสมโภชใหญ่ ๗ วัน
๗ คืนพระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ที่วัดนี้ เป็นเวลาประมาณ ๕ ปี จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๓๒๕
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ เสด็จมาสร้างพระมหานคร
ณ ฝั่งตะวันออกของกรุงธนบุรีเป็นราชธานี สร้างพระบรมมหาราชวัง แล้วโปรดให้สร้างพระอารามขึ้นในพระบรมมหาราชวัง
คือ
วัดพระศรีรัตนศาสดารามด้วย
........................เมื่อการสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามเสร็จแล้ว โปรดให้อัญเชิญพระแก้วมรกตจากวัดแจ้งแห่ข้ามฟากมา
ประดิษฐานไว้ ณ พระอุโบสถ เมื่อวันจันทร์ เดือน ๔ แรม ๑๕ ค่ำ พ.ศ. ๒๓๒๗ ส่วนวัดแจ้ง
ภายหลังที่อัญเชิญพระแก้วมรกตย้ายข้ามมาแล้ว ก็โปรดให้รื้อกำแพงพระราชวังตั้งแต่คลองนครบาลลงมาจนถึง
กำแพงพระราชวังเดิม กลายเป็นวัดอยู่นอกพระราชวัง จึงโปรดให้เป็นวัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษาต่อมาได้
จนกระทั่งปัจจุบันนี้
........................ปัจจุบัน กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนวัดอรุณราชวราราม
เป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๖ ตอนที่ ๖๔ วันที่
๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๒
ลักษณะทางสถาปัตยกรรม
สิ่งสำคัญในพระอารามมีดังนี้
...............พระปรางค์ ตั้งอยู่ทางด้านหน้าของวัด ทางทิศใต้ เป็นของโบราณ เดิมมีขนาดสูง
๘ วา พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อเสริมพระปรางค์องค์เดิมเพื่อให้ใหญ่สมเป็นพระมหาธาตุประจำกรุงรัตนโกสินทร์
มาแล้วเสร็จในรัชกาลที่ ๓ เป็นพระปรางค์ สูง ๓๓ วาเศษ ก่ออิฐถือปูน
ประดับด้วยชิ้นกระเบื้องเคลือบสีต่าง ๆ อย่างงดงามประณีต บางลายใช้จานชามของโบราณที่มีลวดลายสวยงาม
เป็นของเก่าหายาก เช่น ชามเบญจรงค์ มาประดับตกแต่ง และที่ยอดพระปรางค์มีมงกุฏมาประดิษฐานเหนือยอดนภศูล
ทำให้แปลกกว่ายอดนภศูลที่อื่น ๆ
...............พระอุโบสถ เป็นพระอุโบสถที่ยกพื้นสูง หน้าบันด้านหน้าและด้านหลังเป็นรูปเทวดาถือพระขรรค์ประทับในปราสาท
ภายในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังทั้งสี่ด้าน ฝีมืองดงามมาก เป็นภาพพุทธประวัติ
ภาพผจญมาร ภาพเวสสันดรชาดก ฯลฯ พระประธานในพระอุโบสถมีพระนามว่า พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก
เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย พระอุโบสถวัดนี้ไม่มีกำแพงแก้ว แต่มีพระระเบียงแทน เป็นของที่สร้างขึ้นในรัชกาล
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีทรวดทรงงามกว่าพระระเบียงในที่อื่น ๆ ทั้งหมด
ที่ผนังระเบียงมีลายเขียนเป็นซุ้มเรือนแก้วลายดอกไม้ ใบไม้ มีนกยูงแบบจีนคาบอยู่ตรงกลาง
พระพุทธรูปในพระระเบียงเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ทั้งหมดรวมได้ ๑๒๐ องค์นอกจากนี้ยังมี
หอระฆัง มณฑปพระพุทธบาทจำลอง พระวิหาร หอไตร เป็นต้น